
ไม่ว่าจะสำรวจมากี่ครั้ง “รายได้จากลูกหลาน” ยังเป็นแหล่งรายได้หลัก ของผู้สูงอายุส่วนใหญ่ แต่แนวโน้มลดลงอย่างฮวบฮาบ อาจเป็นเพราะ คนที่ “เกษียณโสด” และ “เกษียณไม่มีลูก” มีมากขึ้น หรือไม่ก็ลูกหลาน ไม่สามารถดูแลได้ ทำให้รายได้จากการทำงานค่อยๆ เพิ่มขึ้น

“3 ประเภทแหล่งรายได้หลังเกษียณ”
ทั้งแหล่งที่เป็นเงินก้อนใหญ่ แหล่งรายได้ประจำ หรือแหล่งที่สามารถเลือกรับเป็นก้อนหรือรับเป็นเงินประจำก็ได้ ดังนี้
1 เงินก้อนใหญ่
นี่คือเวลาที่จะได้ชื่นชมความสวยงามของเงินที่อดทนเก็บออมมาตลอดชีวิตการทำงาน และอาจเป็นเวลาที่เราต้องขอบคุณอะไร หรือ ใครก็ตามที่จูงใจ (หรือแม้แต่บังคับ)
ให้เราเก็บออม และต้องขอบคุณทุกเหตุผลที่ทำให้เรายอมถูก “หักเงินเดือน”
ไปทุกเดือน เพราะถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ วันนี้เราคงไม่มีเงินก้อนใหญ่ ให้เบาใจกับ
วัยเกษียณไปได้ (เปลาะหนึ่ง)

กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD)

เป็นเงินก้อนใหญ่ที่มนุษย์เงินเดือนจะได้รับเมื่อเกษียณ ซึ่งแต่ละคนจะได้ไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
- ฐานเงินเดือน ยิ่งมากก็ยิ่งมีโอกาสออมได้มากกว่า เพราะเงินสะสมและเงินสมทบจะคำนวณจากฐานเงินเดือน
- อัตราเงินสะสมของเรา ซึ่งมีสิทธิเลือกว่า ในแต่ละเดือนจะสะสมไว้เท่าไร ตั้งแต่ 2-15% ของเงินเดือน
- อัตราเงินสมทบของนายจ้าง ตั้งแต่ 2-15% ของเงินเดือนเช่นกัน และไม่จำเป็นต้องเป็นอัตราเดียวกับลูกจ้างก็ได้
- ระยะเวลาการเป็นสมาชิกกองทุน ยิ่งออมมานาน ยิ่งมีความเป็นไปได้ที่เงินจะสะสมจนเป็นก้อนใหญ่
- นโยบายการลงทุนและผลตอบแทนที่ได้รับ หากเลือกนโยบายลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนมากขึ้นโดยเฉพาะถ้ามีระยะเวลาลงทุนนาน
- หลักเกณฑ์การจ่ายเงินเมื่อสิ้นสมาชิกภาพ เพราะแต่ละบริษัทจะกำหนดเงื่อนไขที่จะได้รับเงินส่วนของนายจ้างเอาไว้ เช่น จะได้รับเงินส่วนของนายจ้าง 50% ถ้าอายุงาน 1-5 ปี และจะได้ 100% ถ้ามีอายุงานตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป
ตัวอย่างผลประโยชน์ของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (สมมติฐาน: เงินเดือน 15,000 บาท เพิ่มขึ้นปีละ 3% ระยะเวลาลงทุน 30 ปี)
เงินสะสมส่วนของลูกจ้าง (% ของเงินเดือน) |
เงินสมทบส่วนของนายจ้าง (% ของเงินเดือน) |
ผลตอบแทนต่อปี | |||
4% | 5% | 6% | 7% | ||
2% | 2% | 598,313 | 697,578 | 817,551 | 962,876 |
5% | 5% | 1,495,784 | 1,743,945 | 2,043,879 | 2,407,190 |
10% | 10% | 2,991,569 | 3,487,890 | 4,087,758 | 4,814,381 |
15% | 15% | 4,487,354 | 5,231,836 | 6,131,638 | 7,221,571 |

แต่ไม่ว่าจะเป็นก้อนใหญ่ หรือ ใหญ่มาก หากลาออกจากกองทุนออกมาเมื่ออายุไม่ต่ำกว่า 55 ปีบริบูรณ์ (เฉพาะกรณีเกษียณอายุ) และเป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปีต่อเนื่องกัน ทั้งเงินสะสม เงินสมทบ และผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น จะได้รับ
ยกเว้นภาษีเงินได้ทั้งจำนวน
นอกจากนี้ ถ้ายังไม่รู้จะบริหารจัดการเงินก้อนนี้อย่างไรก็สามารถเลือกที่จะ “คงเงิน” เอาไว้ในกองทุนก่อนก็ได้ โดยเงินที่คงไว้จะยัง สามารถเติบโตต่อไปได้ตามนโยบายการลงทุนที่เลือกไว้ หรือ จะเลือกขอรับเงินเป็น “เงินงวด” โดยให้กองทุนทยอยจ่ายแบบเดียวกับ เงินบำนาญก็ได้ (แต่ต้องขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของกองทุนด้วย แต่อย่างน้อยที่สุดกองทุนให้สิทธิสมาชิกขอคงเงินได้ไม่น้อยกว่า 90 วัน นับแต่วันที่ออกจากงาน) หรือ จะเลือกโอนเงินก้อนนี้ไปลงทุนต่อในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เพื่อต่อยอดเงินออมให้งอกเงย ต่อเนื่องก็ทำได้เช่นกัน
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)

ถึงจะไม่มีเงินก้อนใหญ่จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แต่เราก็ยังมีกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ซึ่งที่ออกแบบมาเพื่อเป็นเงินไว้ใช้ ในวัยเกษียณ โดยให้สิทธินำเงินลงทุนไม่เกิน 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษีและเมื่อรวมกับเงินสะสมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ และเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญแล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท ไปหักลดหย่อนภาษีมาเป็นแรงจูงใจให้ออมแทน พอเกษียณก็ยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี และได้รับการยกเว้นภาษีกำไรจากการขายหน่วยลงทุน ถ้าลงทุนไปจนอายุครบ 55 ปี และ ลงทุนมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ลงทุนครั้งแรก (นับวันชนวัน)
กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)

แม้จะไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการเกษียณ แต่กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ก็เป็นช่องทางการออมเงิน ที่น่าสนใจ เพราะได้สิทธิลดหย่อนภาษี แถมไม่ต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปีเหมือนกองทุน RMF โดยต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปีปฎิทินสำหรับกองทุนที่ซื้อมาก่อน 1 ม.ค. 59 แต่หากซื้อตั้งแต่ 1 ม.ค. 59 - 31 ธ.ค. 62 จะต้องถือครองไว้อย่างน้อย 7 ปีปฎิทิน จึงจะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและได้รับ การยกเว้นภาษีกำไรจากการขายหน่วยลงทุน เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในวัยทำงานหรือวัยใกล้เกษียณที่ยัง มีเงินได้ที่ต้องเสียภาษีอยู่ ก็สามารถลงทุนเพื่อรับสิทธิลดหย่อนภาษีไปพร้อมกับออมเงินก้อนโตได้
ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์

ทันทีที่ได้รับเงินคืนจากประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ เราจะลืมไปเลยว่า เคยลำบากใจแค่ไหนตอนที่ พยายามจะปฏิเสธคนที่มาชวนทำประกัน เพราะนอกจากจะเป็นเงินก้อนใหญ่แล้ว ผลประโยชน์ที่ได้ ทั้งเงินคืนระหว่างสัญญา และเงินคืนเมื่อครบกำหนดสัญญา ก็ไม่ต้องนำไป เสียภาษี นอกจากนี้ หากเป็นประกันชีวิตที่มีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป เรายังสามารถนำค่าเบี้ยประกัน ที่ชำระในแต่ละปีไป ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 100,000 บาท อีกด้วย
บำเหน็จดำรงชีพ

สำหรับข้าราชการบำนาญ จะมีสิทธิได้รับเงินอีกก้อนหนึ่งที่เรียกว่า “บำเหน็จดำรงชีพ” อีก 15 เท่า ของบำนาญรายเดือน แต่รวมแล้ว ไม่เกิน 400,000 บาท โดยที่เงินก้อนนี้จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ ทั้งนี้ หากคูณออกมาแล้วได้เกิน 200,000 บาท กรมบัญชีกลางจะแบ่งจ่าย 2 ครั้ง โดย 200,000 บาทแรก จะจ่ายในปีที่เกษียณ และส่วนที่เกิน 200,000 บาท แต่รวมแล้วไม่เกิน 400,000 บาท จะจ่ายอีกครั้งหนึ่ง เมื่ออายุ ครบ 65 ปีบริบูรณ์ เช่น หากได้รับบำนาญเดือนละ 20,000 บาท จะมีสิทธิได้รับบำเหน็จดำรงชีพ เท่ากับ 300,000 บาท ดังนั้น ในปีที่เกษียณจะได้รับเงิน 200,000 บาท และปีที่อายุครบ 65 ปี จึงจะได้รับ อีก 100,000 บาท เป็นต้น
เงินชดเชยตามกฎหมาย

ในมาตรา 118 ของ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานกำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับลูกจ้าง ในกรณีที่ เลิกจ้าง ซึ่งรวมถึงกรณีเกษียณอายุด้วย โดยกำหนดอัตราเงินชดเชยตามอายุงานดังนี้
อายุงาน (ทำงานติดต่อกัน) |
เงินชดเชย |
120 วัน แต่ไม่ถึง 1 ปี | ค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน |
1 ปี แต่ไม่ถึง 3 ปี | ค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน |
3 ปี แต่ไม่ถึง 6 ปี | ค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน |
6 ปี แต่ไม่ถึง 10 ปี | ค่าจ้างอัตราสุดท้าย 240 วัน |
10 ปี ขึ้นไป | ค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน |

2 รายได้ประจำ
แม้ว่าจะเกษียณอายุแล้ว เราก็ยังสามารถมี “รายได้ประจำ” ได้เหมือนเดิม เพียงแต่ รูปแบบอาจจะเปลี่ยนไปบ้างเท่านั้นเอง เพราะส่วนใหญ่จะเป็นรายได้ที่ไม่ต้อง ออกแรงทำงาน ทั้งในรูปแบบของสวัสดิการ ผลตอบแทนจากการออม และการลงทุน

เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ

เมื่ออายุครบ 60 ปี คนไทยทุกคน (มีสัญชาติไทย) จะมีสิทธิได้รับ “เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ” เหมือนกันหมด ยกเว้นคนที่ได้รับสวัสดิการหรือ สิทธิประโยชน์ใดๆ จากหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเบี้ยยังชีพนี้จะจ่ายเป็นรายเดือน โดยเข้าบัญชีเงินฝากภายในวันที่ 10 ของทุกเดือน ตามอัตราที่กำหนดไว้ในแต่ละช่วงอายุดังนี้
อัตราเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
อายุ | เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ (ต่อเดือน) |
60 – 69 ปี | 600 บาท |
70 – 79 ปี | 700 บาท |
80 – 89 ปี | 800 บาท |
90 ปีขึ้นไป | 1,000 บาท |

ทั้งนี้ ผู้ที่มีสิทธิจะต้องยื่นคำขอหรือลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่สำนักงานเขตในกรุงเทพมหานคร หรือที่องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนระหว่างวันที่ 1-30 พฤศจิกายนของทุกปี และเริ่มจ่ายเบี้ยยังชีพให้ตั้งแต่ เดือนตุลาคมปีถัดไป ดังนั้น ควรลงทะเบียนล่วงหน้า 1 ปี ก่อนอายุครบ 60 ปี เพื่อให้ได้รับเบี้ยยังชีพทันทีเมื่ออายุครบ 60 ปี
กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)

สำหรับคนที่ไม่มีระบบบำเหน็จบำนาญ เช่น พ่อค้าแม่ค้า เกษตรกร ก็สามารถมีเงินบำนาญไว้ใช้ในวัยเกษียณได้ถ้าเป็นสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) โดยสามารถส่งเงินสะสมครั้งละไม่ต่ำกว่า 50 บาท และรวมแล้วไม่เกิน 13,200 บาทต่อปี โดยไม่จำเป็น ต้องส่งเงินสะสมทุกเดือน และจำนวนเงินไม่ต้องเท่ากันทุกครั้งก็ได้ จากนั้นรัฐบาลจะให้เงินสมทบตามสัดส่วนเงินสะสมและช่วงอายุ ดังนี้
อายุ | เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ (ต่อเดือน) |
15 - 30 ปี | 50% ของเงินสะสมแต่ไม่เกินปีละ 600 บาท |
> 30 - 50 ปี | 80% ของเงินสะสมแต่ไม่เกินปีละ 960 บาท |
> 50 ปี | 100% ของเงินสะสมแต่ไม่เกินปีละ 1,200 บาท |

*อัตราเงินสมทบของรัฐบาลอาจเปลี่ยนแปลงได้และจะทบทวนทุกๆ 5 ปี
กอช. จะเริ่มจ่ายเงินบำนาญให้เราเมื่ออายุครบ 60 ปี โดยจำนวนเงินบำนาญในแต่ละเดือนจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ “เงินในบัญชีรายบุคคล” ที่สะสมมาจนถึงอายุ 60 ปี และผลตอบแทนที่กองทุนทำได้ โดยมีสูตรคำนวณดังนี้


บำนาญรายเดือนที่คาดว่าจะได้รับจาก กอช.
สมมติฐาน สมาชิกออมเป็นจำนวนเท่ากันทุกเดือน จนถึงอายุ 60 ปี และ อัตราผลตอบแทนสุทธิที่ได้รับเท่ากับ 4% ต่อปี
อายุที่เริ่มออม | จำนวนเงินสะสมต่อเดือน (บาท) | |||||||||||
50 | 100 | 200 | 300 | 400 | 500 | 600 | 700 | 800 | 900 | 1,000 | 1,100 | |
15 | 634 | 1,268 | 2,033 | 2,797 | 3,562 | 4,327 | 5,091 | 5,856 | 6,620 | 7,385 | 8,150 | 8,914 |
20 | 511 | 1,022 | 1,622 | 2,223 | 2,823 | 3,423 | 4,023 | 4,624 | 5,224 | 5,824 | 6,425 | 7,025 |
25 | 410 | 819 | 1,285 | 1,750 | 2,215 | 2,681 | 3,146 | 3,661 | 4,076 | 4,542 | 5,007 | 5,472 |
30 | 326 | 653 | 1,007 | 1,362 | 1,716 | 2,070 | 2,424 | 3,661 | 4,076 | 4,542 | 5,007 | 5,472 |
35 | 244 | 489 | 752 | 1,015 | 1,278 | 1,541 | 1,804 | 2,067 | 2,330 | 2,593 | 2,857 | 3,120 |
40 | 177 | 354 | 542 | 730 | 918 | 1,106 | 1,294 | 1,482 | 1,671 | 1,859 | 2,047 | 2,235 |
45 | 121 | 243 | 369 | 496 | 622 | 749 | 875 | 1,002 | 1,128 | 1,255 | 1,381 | 1,508 |
50 | 76 | 152 | 228 | 303 | 379 | 455 | 531 | 607 | 683 | 758 | 834 | 910 |
55 | 34 | 68 | 103 | 137 | 171 | 205 | 240 | 274 | 308 | 342 | 376 | 411 |
59 | 6 | 13 | 19 | 25 | 32 | 38 | 44 | 51 | 57 | 63 | 69 | 76 |
กรณีที่เงินบำนาญรายเดือนต่ำกว่า 600 บาท จะได้รับเงินดำรงชีพเดือนละ 600 บาท จนกว่าเงินในบัญชีบำนาญส่วนตัวจะหมด |

ที่มา: กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)
หากสมาชิกมีเงินออมในบัญชีมากพอที่จะมีสิทธิได้รับเงินบำนาญ เมื่อคำนวณออกมาได้เท่าไร ก็จะได้รับบำนาญรายเดือนตามจำนวนนั้น ไปตลอดชีวิต แม้ว่าเงินในบัญชีบำนาญส่วนตัวจะหมดแล้วก็ตาม
แต่หากเงินในบัญชีน้อย คำนวณออกมาแล้วได้บำนาญไม่ถึง 600 บาท (ซึ่งเป็นอัตราบำนาญขั้นต่ำ กอช. จะจ่ายให้เป็น “เงินดำรงชีพ” เท่ากับบำนาญขั้นต่ำ หรือ เดือนละ 600 บาท ไปจนกว่าเงินในบัญชีบำนาญส่วนตัวจะหมด)

เช่น คุณอัมพร เป็นสมาชิก กอช. เมื่ออายุ 55 ปี ส่งเงินสะสมเดือนละ 1,100 บาท เมื่ออายุ 60 ปี คำนวณออกมาเป็นเงินบำนาญเดือนละ 411 บาท แต่ กอช. จะจ่ายเงิน ดำรงชีพให้เดือนละ 600 บาท ไปจนกว่าเงินในบัญชีบำนาญของคุณอัมพรจะหมด ซึ่งอาจ จะเป็นเวลาประมาณ 13 ปี หรือ อายุ 73 ปี แต่หากสะสมมาตั้งแต่อายุ 50 ปี ด้วยจำนวน เงินเท่ากันจะได้บำนาญเดือนละ 910 บาท ไปจนกว่าคุณอัมพรจะจากโลกนี้ไป
นอกจากนี้ ไม่ว่า จะได้บำนาญเดือนละกี่บาท หรือ จะได้เป็นเงินดำรงชีพ ก็ยังมีสิทธิได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุอีกด้วย
ดอกเบี้ยเงินฝากและตราสารหนี้

ตอนนี้และในอีกหลายๆ ปีนับจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่า ดอกเบี้ยทั่วโลกจะต่ำไปอีกนาน หากจะ หวังรายได้เป็นกอบเป็นกำจากดอกเบี้ยเงินฝากเหมือนในอดีตคงไม่ได้อีกแล้ว เช่นเดียวกับดอกเบี้ย ที่จะได้จากการถือตราสารหนี้ ไม่ว่าจะเป็นพันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้ภาคเอกชนที่ยิ่งมีความเสี่ยง ต่ำ ก็จะยิ่งให้ดอกเบี้ยต่ำตามไปด้วย
แม้ว่ารายได้จากดอกเบี้ยจะน้อยนิด แต่ก็ถือเป็นช่องทางสร้างรายได้ประจำที่วัยเกษียณจะชอบมากเป็นพิเศษ โดยเห็นได้จากคนที่ ไปเข้าคิวรอซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ เพราะจะได้ดอกเบี้ยดีกว่าพันธบัตรปกติและไม่มีภาษี ขณะที่รายได้จากเงินฝากประจำและตราสารหนี้ อื่นจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% และถ้าได้ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ปีละ 20,000 บาทขึ้นไป จะต้องเสียภาษี ในอัตรา 15%
แต่หากเป็นเงินฝากประจําสําหรับผู้สูงอายุ จะได้รับ
ยกเว้นภาษีสําหรับผู้ฝากเงินอายุ 55 ปีขึ้นไปที่มี ดอกเบี้ยเงินฝากประจําทุกประเภท รวมกันแล้วไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี รวมทั้งดอกเบี้ยเงินฝากประจำแบบผูกพัน 2 ปีค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์

รายได้จากค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นบ้าน คอนโดมิเนียม อาคารพาณิชย์ ไปจนถึง ที่ดิน และอพาร์ทเม้นท์ น่าจะถูกใจวัยเกษียณ เพราะไม่ต้องออกแรงมากนักก็มีรายได้เข้ามาทุกเดือน (ถ้ามีผู้เช่าต่อเนื่อง) แถมยังเป็นรายได้ที่ไม่ต้องกลัวว่า เงินเฟ้อจะทำให้มูลค่าน้อยลง เพราะสามารถปรับขึ้นค่าเช่าได้
แต่ถ้าอยากเกษียณแล้วมีรายได้จากค่าเช่า ควรจะเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้า เพราะต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างมาก และต้องมีความรู้เกี่ยวกับ อสังหาริมทรัพย์ให้เช่าสักหน่อย เช่น การเลือกทำเล การคิดค่าเช่า การบริหารจัดการ และภาษีที่เกี่ยวข้อง เพราะสิ่งเหล่านี้มีผลต่อรายได้ จากค่าเช่าทั้งสิ้น
เงินปันผลจากหุ้นและกองทุนรวม

โดยทั่วไปแล้วบริษัทที่มีกำไร แต่ไม่จำเป็นต้องใช้เงินไปลงทุนก้อนใหญ่ทำอะไรเพิ่ม ก็จะนำกำไรที่ได้ มาแบ่งคืนให้กับผู้ถือหุ้น ตามนโยบายจ่ายเงินปันผลที่กำหนดไว้ ฉะนั้นถ้าจะลงทุนหุ้นปันผลดีๆ ไว้เหมือนเลี้ยง “ห่านทองคำ” ก็ต้องเลือกลงทุนบริษัทที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง รวมทั้งมีการจ่าย เงินปันผลดีและสม่ำเสมอ จะได้ออกไข่ทองคำมาให้เราอย่างต่อเนื่อง
เวลาที่ได้เงินปันผลจะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% แต่สามารถขอ “เครดิตภาษีเงินปันผล” คืนได้ โดยนำเงินปันผลไปรวมกับรายได้อื่นๆ แล้ว ไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี หรือ ฐานภาษีต่ำ ขณะที่ได้รับเงินปันผลจากบริษัทที่จ่ายภาษีนิติบุคคลในอัตราสูงก็จะได้เงินภาษีคืน เพราะถือเป็นการจ่ายภาษีซ้ำซ้อน
แต่ถ้าไม่รู้จะเลือกลงทุนหุ้นตัวไหน บริษัทอะไร เราสามารถลงทุนผ่านกองทุนรวม โดยเลือกกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นที่จ่ายเงินปันผลดี สม่ำเสมอ (ส่วนใหญ่จะมีคำว่า “หุ้นปันผล” หรือ “High Dividend” ในชื่อกองทุน) และมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหน่วยลงทุน เป็นประจำเช่นกัน
นอกจากนี้ ยังมีกองทุนอีกหลายประเภทที่เหมาะสำหรับวัยเกษียณ ที่ต้องการรายได้ประจำเพื่อดำรงชีพ เช่น กองทุนที่มีคำว่า “Income” ในชื่อกองทุน ซึ่งอาจจะไม่ได้ลงทุนหุ้นปันผลเพียงอย่างเดียว แต่ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลาย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
หรือจะเป็นกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หรือ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่างๆ และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ที่ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และนำรายได้ที่ได้จากการลงทุนมาจ่ายเป็นเงินปันผล
เงินปันผลที่ได้รับจากกองทุนรวมก็ต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% เหมือนกับเงินปันผลที่ได้จากหุ้น แต่ หลายกองทุนหาทางออก ให้ผู้ลงทุน โดยใช้วิธีการขายหน่วยลงทุนอัตโนมัติ (Auto Redemption) แทนการจ่ายเงินปันผล ทำให้ไม่เสียภาษีเงินปันผล
ประกันชีวิตแบบบำนาญ

ถ้าคุ้นเคยกับประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ จะเห็นว่า เราจะได้รับผลประโยชน์เป็นเงินก้อนใหญ่ เมื่อครบกำหนดสัญญา (อาจจะมีเงินคืนระหว่างทางได้บ้าง) ขณะที่ประกันชีวิตแบบบำนาญจะไม่มี ผลตอบแทนระหว่างทาง แต่ไปทยอยจ่ายผลประโยชน์เป็นงวดๆ ในวัยเกษียณ
ดังนั้น การทำประกันชีวิตแบบบำนาญจึงเป็นการรับประกันว่า เราจะมีรายได้ประจำสม่ำเสมอ และต่อเนื่องหลังจากที่เกษียณอายุแล้ว เพราะบริษัทประกันจะจ่ายผลประโยชน์ให้หลังจากเราอายุ 55 ปี หรือ 60 ปี (แล้วแต่แบบของกรมธรรม์) เรื่อยไปจนถึงอายุ 85 ปี เป็นอย่างน้อย ซึ่งเรียกว่า “ช่วงรับเงินบำนาญ”
นอกจากนี้ ยังสามารถนำเงินที่จ่ายเป็นเบี้ยประกันแบบบำนาญไปลดหย่อนภาษีได้ โดยจะต้องซื้อกรมธรรม์ที่มีความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป และระบุชัดเจนว่า เป็น “ประกันชีวิตแบบบำนาญที่ใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีได้”
รายได้จากอาชีพหลังเกษียณ

แม้ว่าจะเกษียณแล้ว แต่ก็ยังมีใจอยากจะทำงาน โดยเฉพาะในช่วงต้นของวัยเกษียณ ที่ยังเรี่ยวแรงดี มีประสบการณ์ พร้อมแบ่งปัน แถมยังมี “อาชีพในฝัน” ที่อยากทำ และถ้าทำได้ดี นี่จะเป็นแหล่ง รายได้ประจำหลังเกษียณอีกทางหนึ่ง จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติจะเห็นว่า “ผู้สูงอายุที่ยังทำงานอยู่” มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะช่วงอายุ 60-69 ปี ที่ประมาณครึ่งหนึ่ง ยังทำงานกันอยู่ และไม่ว่าจะอายุเท่าไร ถ้ายังมีรายได้ก็มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายได้ แต่สำหรับ ผู้มีเงินได้ที่อายุไม่ต่ำกว่า 65 ปีบริบูรณ์ในปีภาษีนั้น จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 190,000 บาท
เงินจากสินเชื่อบ้านเพื่อผู้สูงอายุ

ในอีกไม่ช้าไม่นานประเทศไทยน่าจะมี “สินเชื่อบ้านสำหรับผู้สูงอายุ” หรือ การจำนองแบบย้อนกลับ (Reverse Mortgage) ซึ่งจะเป็นช่องทางสร้างรายได้วัยเกษียณที่น่าสนใจ เพราะมีการวิจัยพบว่า วิธีนี้จะช่วยให้คนไทยวัยเกษียณมีรายได้ไว้ใช้จ่ายเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 2.55 ล้านบาท ( ที่มา : สถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย )
สินเชื่อบ้านสำหรับผู้สูงอายุ คือ สินเชื่อที่ผู้สูงอายุนำบ้านที่อยู่อาศัยของตัวเองมาจดจำนองกับสถาบันการเงิน แต่แทนที่จะได้รับเป็น เงินก้อนใหญ่ไปในครั้งเดียว เหมือนกับการจำนองทั่วไป ก็จะได้เป็น “เงินงวด” ไปเรื่อยๆ โดยที่เรายังสามารถอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นต่อไป ได้จนกว่าจะเสียชีวิต หรือ จนกว่าจะครบกำหนดตามสัญญา
เพราะฉะนั้นจึงเหมาะมากสำหรับวัยเกษียณที่มีบ้านเป็นของตัวเอง (ผ่อนหมดแล้ว) ไม่มีรายได้จากแหล่งอื่น หรือ
อยากเพิ่มรายได้ต่อเดือนให้มากขึ้น
3 เลือกรับ “เงินก้อน” หรือ “รายได้ประจำ”
แหล่งรายได้บางอย่างเป็นไปได้ทั้งเงินก้อนใหญ่และรายได้ประจำ ซึ่งในบางกรณีสามารถเลือกได้ว่าอยากให้เป็นแบบไหน

กองทุนประกันสังคม

ที่ผ่านมาเราอาจจะบ่นน้อยใจว่า ที่จ่ายเงินสมทบประกันสังคมทุกเดือนๆ ไม่เห็นจะได้อะไร ไปรักษาพยาบาลก็นับครั้งได้ เสียดายเงิน แต่เมื่อถึงเวลาต้องเกษียณแบบนี้ จะรู้เลยว่า เงินที่ถูกหักไปเดือนละไม่กี่ร้อยบาท มันงอกเงยกลายเป็นเงินแสนได้โดยไม่รู้ตัว
เพราะนับตั้งแต่ 31 ธ.ค. 2541 ทุกๆ 3% ของรายได้ ที่เป็นเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม (หรือเท่ากับ 750 บาท โดยคำนวณจาก ฐานค่าจ้างไม่เกิน 15,000 บาท กรณีเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33) จะถูกเก็บไปเป็น “เงินสมทบกรณีชราภาพ” ซึ่งจะกลายมาเป็น “บำเหน็จชราภาพ” ถ้าเข้าเงื่อนไข 3 ข้อ ได้แก่

จะได้บำเหน็จชราภาพเท่ากับจำนวนเงินสมทบจ่ายเข้ากองทุน เพราะฉะนั้น ถ้าเงินเดือน 15,000 บาท และส่งเงิน สมทบกรณีชราภาพเดือนละ 450 บาท จะได้เงินบำเหน็จเท่ากับ 450 บาท คูณกับจำนวนเดือนที่ส่งเงินสมทบ
(แต่ไม่ถึง 180 เดือน)
จะได้เงินบำเหน็จชราภาพ ซึ่งมาจาก 3 ส่วน คือ เงินสมทบของเรา เงินสมทบของนายจ้าง ที่สมทบมาทั้งหมด บวกกับผลประโยชน์ตอบแทนตามที่ สำนักงานประกันสังคมกำหนด
แต่ถ้ายังไม่เกษียณอายุและทำงานประจำต่อไปจนถึงอายุ 60 ปี รวมทั้งยังเป็นผู้ประกันตนต่อเนื่อง จะเพิ่มระยะเวลาการส่งเงินสมทบ กรณีชราภาพได้มากกว่า 180 เดือน ก็จะมีสิทธิได้รับ “บำนาญชราภาพ” ถ้าเข้าเงื่อนไข 3 ข้อ ได้แก่
อัตราเงินบำนาญรายเดือนจะเท่ากับ 20% ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท แต่ถ้าจ่ายเงินสมทบมากกว่า 180 เดือน ได้รับเงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบทุก 12 เดือน (เศษเกินปัดทิ้ง)
ตัวอย่างตารางคำนวณเงินบำนาญรายเดือน
ระยะเวลาที่ส่งเงินสมทบ (ปี) | บำนาญที่ได้รับ | |
% ของค่าจ้างเดือนสุดท้าย | จำนวนเงิน (บาท/เดือน) | |
15 | 20.0 | 3,000 |
20 | 27.5 | 4,125 |
25 | 35.0 | 5,250 |
30 | 42.5 | 6,375 |
35 | 50.0 | 7,500 |

ที่มา : สำนักงานประกันสังคม
แต่ไม่ว่าจะเลือกรับบำเหน็จหรือบำนาญ ก็ต้องไปยื่นคำขอที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ หรือสำนักงานประกันสังคม จังหวัดและสาขา (จะไปยื่นที่ไหนก็ได้) แต่ต้องไปภายใน 2 ปีนับจากวันที่มีสิทธิได้รับประโยชน์กรณีชราภาพ หรือวันที่สิ้นสุดการเป็น ผู้ประกันตน
กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)

สำหรับข้าราชการน่าจะสบายใจเรื่องแหล่งรายได้หลังเกษียณ เพราะถ้ามีเวลาราชการ 25 ปีขึ้นไป จะเลือกได้เลยว่า จะรับเป็นบำเหน็จหรือบำนาญ โดยมีสูตรคำนวณต่างกันระหว่างข้าราชการ ที่เป็นสมาชิกกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กับข้าราชการที่ไม่ได้เป็นสมาชิก กบข.
สิทธิที่จะได้รับบำเหน็จหรือบำนาญ | ระบบบำเหน็จบำนาญ | ระบบ กบข. จะได้รับเงิน 2 ส่วน | |
![]() |
|
เงินเดือนเดือนสุดท้าย คูณ เวลาราชการ |
|
![]() |
|
เงินเดือนเดือนสุดท้าย คูณ เวลาราชการ หารด้วย 50 |
|

ถ้าเป็นแหล่งรายได้ในรูปแบบบำนาญที่มีคนบริหารจัดการให้ก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไร แต่ถ้าเป็นเงินบำเหน็จหรือเงินก้อนที่ได้ในวันเกษียณ เช่น เงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือ เงินบำเหน็จชราภาพจากกองทุนประกันสังคม แบบนี้น่าเป็นห่วง เพราะหากบริหารจัดการไม่ดีพอ เงินก้อนใหญ่อาจจะกลายเป็นศูนย์ภายในเวลาไม่นาน

โดยอาจจะงอกออกมาเป็นดอกเบี้ยจากตราสารหนี้ เงินปันผลจากการลงทุนหุ้น กองทุนรวม
อสังหาริมทรัพย์ และออกมาเป็นกำไรจากการลงทุน แต่การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนที่เป็นวัยเก๋า
จึงต้องศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้งด้วย